รู้จักประเทศเยอรมัน
ประเทศเยอรมันตั้งอยู่ตอนกลางของยุโรป และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรป ทำให้สกุลเงินในเยอรมันจึงเป็นยูโร เยอรมันมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ4 ของโลก บร๊ะเจ้า !!! แถมยังมีการนำเข้า และส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีความเจริญของสถาปัตยกรรม และที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม จึงทำให้ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอย่างไม่คาดสาย วันนี้เราจะมาดูกันครับว่าประเทศเยอรมัน มีสถานที่ไหนน่าสนใจบ้าง
1.เบอร์ลิน (Berlin)
คุณจะได้สัมผัสถึงร่องรอยแห่งอดีตทันที เมื่อคุณเข้ามาที่เบอร์ลิน เพราะว่าจะยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมอันงดงามเอาไว้มากมายหลายแห่ง และที่เราอยากจะแนะนำคือ ประตูบรานเดนบวร์ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง ที่ยังคงหลงเหลือเส้นแนวกำแพงเดิม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงอดีตของสงคราม นอกจากนี้ เบอร์ลินยังมีศูนย์กลางความบันเทิงอย่างหอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ที่อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ซึ่งเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นไปนั่งรับประทานอาหารกันบนนั้น
2.ฮัมบูร์ก (Hamburg)
เมืองท่าที่ใหญ่อันดับสองของเยอรมัน ได้รับการขนานนามว่า “ประตูสู่โลก” เพราะมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญ ทำให้เป็นเมืองที่รวยที่สุดในยุโรปแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่ บริเวณท่าเรือ เมื่อคุณเข้าสู่เมืองฮัมบูร์กคุณจะได้พบสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึงธนาคารแบร์มเบริก ซึ่งเป็นธนาคารที่เก่าแก่ นอกจากนี้ยังมี ย่านซังท์เพาลี ย่านเก่าแก่ของเมือง ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเดินเที่ยวกินบรรยากาศเก่าๆ ซึ่งในปัจจุบันรู้จักในชื่อ ย่านแสงสีแดง คุณจะพบกับอาคารคลังสินค้าที่สร้างขึ้นจากอิฐสีแดง
3.เดรสเดน (Dresden)
4.โคโลญจน์ (Cologne)
แค่ชื่อเมืองก็รู้แล้วว่าเมืองนี้คือ เมืองแห่งน้ำหอมและยังมีมหาวิหารอันยิ่งใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ มหาวิหารที่สำคัญชื่อว่า เคิล์นโดม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 600 ปีเชียวนะ คุณจะสัมผัสได้ถึงความงดงามของสถาปัตยกรรม บริเวณใกล้กับวิหาร จะมีสะพานโฮเฮนโซลแลร์นบรุคเคอ เป็นไฮไลท์ที่คุณห้ามพลาดเพราะราวสะพานจะเต็มไปด้วยกุญแจของคู่รักที่เชื่อว่าจะไม่พรากจากกัน นอกจากนี้ เมืองโคโลญจน์ยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต ที่ตั้งอยู่บนตึกลอยน้ำริมแม่น้ำไรน์เด็ดตรงที่มีน้ำพุช็อกโกแลต จะมีเจ้าหน้าคอยนำวาฟเฟิลอุ่นๆ มาให้คุณ แล้วคุณก็สามารถจุ่มกับช็อคโกแลต แล้วทานได้เลย เมืองนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด
5.มิวนิค (Munich)
เมืองแห่งเบียร์เยอรมัน คอเบียร์ไม่ควรพลาด นอกจากจะเด่นเรื่องเบียร์แล้ว เมืองนี้ยังเป็นบ้านของทีมฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกอีกด้วย มิวนิคเป็นเมืองที่ร่ำรวยศิลปะอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมบาวาเรียนแบบแท้ๆ เมื่อเข้าสู่เขตเมืองมิวนิค คุณจะได้เห็นโบสถ์เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อโบสถ์รูปทรงโดมแฝด และโบสถ์พระแม่มารีทรงหัวหอม หลังจากชมโบสถ์เรายังไม่ลืมที่จะพาคุณไปชมโรงเบียร์แบบพื้นเมืองฮอฟบราวเฮาส์ ที่ตั้งอยู่ที่จัตุรัสพลาตเซิลต้องถูกใจคอเบียร์อย่างแน่นอน
6.แฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt)
เมืองแห่งศูนย์กลางการเงิน เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการธนาคารของโลก มีสถาบันการเงินนานาชาติกว่า 300 แห่ง ที่เมืองนี้มีอาคารแสดงสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเยอรมัน จัดงานแสดงสินค้าต่างๆ เช่น สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาส แม้ว่าแฟรงค์เฟิร์ตเป็นเมืองที่มีความทันสมัย แต่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่อย่างมหาวิหารเซนท์บาร์โทโลมิวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และโบสถ์เซนต์พอลซึ่งเป็นอนุสรณ์ประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีสวนพฤกษศาสตร์ ที่แวดล้อมไปด้วยดอกไม้และสัตว์นานาชนิดอีกด้วย
7.ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)
เมืองนี้มีมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ มีอายุมานานกว่า 600 ปี หากมาเมืองนี้คุณจะพบบ้านเรือนในสถาปัตยกรรมเก่าๆ ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย โดยมีแม่น้ำเนคคาร์คั่นกลาง และจะพบกับปราสาทไฮเดลเบิร์กอันเก่าแก่และทรงคุณค่า คุณสามารถเดินทางไปยังปราสาทได้ 2 วิธี คือ เดินขึ้นไปหรือนั่งรถราง ภายในปราสาทจะมีห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ ที่มีถังบ่มไวน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อกลับลงคุณจะได้พบกับสะพานคาลธีโอดอร์ฮ้อยส์บรุคเคอสะพานอันเก่าแก่ของเมือง
8.พอทสดัม (Potsdam)
เมืองมรดกโลกของเยอรมัน เมืองแห่งนี้อุดมธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีทะเลสาบเชื่อมต่ออยู่ทั่วทั้งเมือง จุดเด่นคือหมู่บ้านดัตช์ ที่มีบ้านเรือน 134 หลัง ซึ่งถูกสร้างด้วยอิฐสีแดงในสไตล์ดัตช์ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมพระราชวังซองส์ซูซี หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลินซึ่งถูกจัดให้เป็นคู่แข่งกับพระราชวังแวร์ซายส์ เลยทีเดียว พระราชวังอีกหนึ่งแห่งที่อยากจะแนะนำคือ Orangery Palace เป็นพระราชวังสไตล์อิตาเลียนยุคเรอเนสซองส์
เที่ยวเยอรมันด้วยตัวเอง
เยอรมันมีสภาพอากาศแบบภาคพื้นทวีป อุณหภูมิในช่วงกลางวัน และกลางคืนค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก และอุณหภูมิในแต่ละฤดูเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤษภาคม – กันยายน เพราะเป็นฤดูร้อน อากาศจะเย็นสบาย อุณหภูมิประมาณ 10 – 22°C ช่วงร้อนที่สุดจะเป็นเดือนกรกฎาคม และช่วงหนาวที่สุดจะเป็นเดือนมกราคม ในฤดูหนาวเดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม อาจมีฝนตกหนัก ไปเที่ยวฤดูร้อนจึงดูจะเหมาะกว่า และมันมีเหตุผลว่าทำไมต้องไปเดือนกันยายน นั่นเพราะว่าที่เมืองมิวนิกจะมีเทศกาลเบียร์เยอรมัน อ็อกโทเบอร์เฟสต์ ซึ่งเป็นเทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
การเดินทางไปเยอรมัน ต้องทำวีซ่าเชงเกน ใช้เวลาบินประมาณ 11 ชั่วโมง ในการไปแฟรงค์เฟิร์ต และใช้เวลาบินประมาณ 13 – 18 ชั่วโมง ในการไปเบอร์ลิน หากว่าจองล่วงหน้าก่อนการเดินทางจะได้ราคาประหยัด
การเดินทางในเยอรมัน มีหลากหลายวิธีที่นิยม ทั้งรถไฟ รถประจำทาง รถราง ปั่นจักรยาน หรือจะเช่ารถยนต์ขับเองก็ได้ หรือแม้แต่เรือเฟอร์รารี่ก็มีบริการ ระบบการเดินทางทุกอย่างเน้นไปที่ความปลอดภัย มีเวลาที่แน่นอนของการเดินรถ
รถไฟเยอรมัน มีทั้งหมด 6 แบบ
รถไฟเยอรมันจะตรงเวลามาก เลทได้สองสามนาทีเท่านั้น หากว่านานกว่านั้นแสดงว่าเกิดเหตุสุดวิสัย อาจจะมีพายุเข้า ทุกหัวเมืองจะมีสถานีรถไฟประจำเมืองนั้นๆ แล้วก็ยังมีสถานีย่อยๆ ลงไปอีก แบ่งรถไฟออกเป็นทั้งหมด 6 แบบ ดังนี้