วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

รู้จักประเทศเยอรมัน


ประเทศเยอรมันตั้งอยู่ตอนกลางของยุโรป และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรป ทำให้สกุลเงินในเยอรมันจึงเป็นยูโร เยอรมันมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ4 ของโลก บร๊ะเจ้า !!! แถมยังมีการนำเข้า และส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 เลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีความเจริญของสถาปัตยกรรม และที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงาม จึงทำให้ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวอย่างไม่คาดสาย วันนี้เราจะมาดูกันครับว่าประเทศเยอรมัน มีสถานที่ไหนน่าสนใจบ้าง

1.เบอร์ลิน (Berlin)



คุณจะได้สัมผัสถึงร่องรอยแห่งอดีตทันที เมื่อคุณเข้ามาที่เบอร์ลิน เพราะว่าจะยังคงหลงเหลือสถาปัตยกรรมอันงดงามเอาไว้มากมายหลายแห่ง และที่เราอยากจะแนะนำคือ ประตูบรานเดนบวร์ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมือง ที่ยังคงหลงเหลือเส้นแนวกำแพงเดิม เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นถึงอดีตของสงคราม นอกจากนี้ เบอร์ลินยังมีศูนย์กลางความบันเทิงอย่างหอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ที่อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ซึ่งเป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับ 2 ในสหภาพยุโรป ส่วนมากนักท่องเที่ยวจะนิยมขึ้นไปนั่งรับประทานอาหารกันบนนั้น

2.ฮัมบูร์ก (Hamburg)


เมืองท่าที่ใหญ่อันดับสองของเยอรมัน ได้รับการขนานนามว่า “ประตูสู่โลก” เพราะมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญ ทำให้เป็นเมืองที่รวยที่สุดในยุโรปแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่ บริเวณท่าเรือ เมื่อคุณเข้าสู่เมืองฮัมบูร์กคุณจะได้พบสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมถึงธนาคารแบร์มเบริก ซึ่งเป็นธนาคารที่เก่าแก่ นอกจากนี้ยังมี ย่านซังท์เพาลี ย่านเก่าแก่ของเมือง ที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเดินเที่ยวกินบรรยากาศเก่าๆ ซึ่งในปัจจุบันรู้จักในชื่อ ย่านแสงสีแดง คุณจะพบกับอาคารคลังสินค้าที่สร้างขึ้นจากอิฐสีแดง

3.เดรสเดน (Dresden)




เมืองท่องเที่ยวเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำเอลเบอที่นี่จะเต็มไปด้วยความสวยงามของอาคารเก่า ที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนงดงามน่าทึ่ง แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ในเมืองนี้คือ บริเวณ “ตลาดใหม่นอยมาร์ค” ซึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์ฟราวเอนเคียเช่อ,โบสถ์โปรเตสแตนท์และที่ด้านหน้าโบสถ์จะมีอนุสาวรีย์ของมาร์ตินลูเธอร์ตั้งอยู่ อีกหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ เฟอร์เต็นซูก ซึ่งเป็นกำแพงที่ประดับด้วยกระเบื้องที่ยาวที่สุดในโลก ยาวถึง 101 เมตร

4.โคโลญจน์ (Cologne)


แค่ชื่อเมืองก็รู้แล้วว่าเมืองนี้คือ เมืองแห่งน้ำหอมและยังมีมหาวิหารอันยิ่งใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ มหาวิหารที่สำคัญชื่อว่า เคิล์นโดม ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลก ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 600 ปีเชียวนะ คุณจะสัมผัสได้ถึงความงดงามของสถาปัตยกรรม บริเวณใกล้กับวิหาร จะมีสะพานโฮเฮนโซลแลร์นบรุคเคอ เป็นไฮไลท์ที่คุณห้ามพลาดเพราะราวสะพานจะเต็มไปด้วยกุญแจของคู่รักที่เชื่อว่าจะไม่พรากจากกัน นอกจากนี้ เมืองโคโลญจน์ยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต ที่ตั้งอยู่บนตึกลอยน้ำริมแม่น้ำไรน์เด็ดตรงที่มีน้ำพุช็อกโกแลต จะมีเจ้าหน้าคอยนำวาฟเฟิลอุ่นๆ มาให้คุณ แล้วคุณก็สามารถจุ่มกับช็อคโกแลต แล้วทานได้เลย เมืองนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด

5.มิวนิค (Munich)


เมืองแห่งเบียร์เยอรมัน คอเบียร์ไม่ควรพลาด นอกจากจะเด่นเรื่องเบียร์แล้ว เมืองนี้ยังเป็นบ้านของทีมฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกอีกด้วย มิวนิคเป็นเมืองที่ร่ำรวยศิลปะอย่างมาก เพราะเต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมบาวาเรียนแบบแท้ๆ เมื่อเข้าสู่เขตเมืองมิวนิค คุณจะได้เห็นโบสถ์เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อโบสถ์รูปทรงโดมแฝด และโบสถ์พระแม่มารีทรงหัวหอม หลังจากชมโบสถ์เรายังไม่ลืมที่จะพาคุณไปชมโรงเบียร์แบบพื้นเมืองฮอฟบราวเฮาส์ ที่ตั้งอยู่ที่จัตุรัสพลาตเซิลต้องถูกใจคอเบียร์อย่างแน่นอน

6.แฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt)


เมืองแห่งศูนย์กลางการเงิน เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการธนาคารของโลก มีสถาบันการเงินนานาชาติกว่า 300 แห่ง ที่เมืองนี้มีอาคารแสดงสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเยอรมัน จัดงานแสดงสินค้าต่างๆ เช่น สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาส แม้ว่าแฟรงค์เฟิร์ตเป็นเมืองที่มีความทันสมัย แต่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่อย่างมหาวิหารเซนท์บาร์โทโลมิวที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และโบสถ์เซนต์พอลซึ่งเป็นอนุสรณ์ประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ยังมีสวนพฤกษศาสตร์ ที่แวดล้อมไปด้วยดอกไม้และสัตว์นานาชนิดอีกด้วย

7.ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)


เมืองนี้มีมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ มีอายุมานานกว่า 600 ปี หากมาเมืองนี้คุณจะพบบ้านเรือนในสถาปัตยกรรมเก่าๆ ตั้งอยู่เรียงรายมากมาย โดยมีแม่น้ำเนคคาร์คั่นกลาง และจะพบกับปราสาทไฮเดลเบิร์กอันเก่าแก่และทรงคุณค่า คุณสามารถเดินทางไปยังปราสาทได้ 2 วิธี คือ เดินขึ้นไปหรือนั่งรถราง ภายในปราสาทจะมีห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ ที่มีถังบ่มไวน์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อกลับลงคุณจะได้พบกับสะพานคาลธีโอดอร์ฮ้อยส์บรุคเคอสะพานอันเก่าแก่ของเมือง

8.พอทสดัม (Potsdam)


เมืองมรดกโลกของเยอรมัน เมืองแห่งนี้อุดมธรรมชาติที่สมบูรณ์ มีทะเลสาบเชื่อมต่ออยู่ทั่วทั้งเมือง จุดเด่นคือหมู่บ้านดัตช์ ที่มีบ้านเรือน 134 หลัง ซึ่งถูกสร้างด้วยอิฐสีแดงในสไตล์ดัตช์ นอกจากนี้ยังมีสถาปัตยกรรมพระราชวังซองส์ซูซี หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลินซึ่งถูกจัดให้เป็นคู่แข่งกับพระราชวังแวร์ซายส์ เลยทีเดียว พระราชวังอีกหนึ่งแห่งที่อยากจะแนะนำคือ Orangery Palace เป็นพระราชวังสไตล์อิตาเลียนยุคเรอเนสซองส์

เที่ยวเยอรมันด้วยตัวเอง


เยอรมันมีสภาพอากาศแบบภาคพื้นทวีป อุณหภูมิในช่วงกลางวัน และกลางคืนค่อนข้างจะแตกต่างกันมาก และอุณหภูมิในแต่ละฤดูเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ช่วงเดือนที่เหมาะแก่การไปท่องเที่ยวมากที่สุดคือ ช่วงเดือนพฤษภาคม – กันยายน เพราะเป็นฤดูร้อน อากาศจะเย็นสบาย อุณหภูมิประมาณ 10 – 22°C ช่วงร้อนที่สุดจะเป็นเดือนกรกฎาคม และช่วงหนาวที่สุดจะเป็นเดือนมกราคม ในฤดูหนาวเดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม อาจมีฝนตกหนัก ไปเที่ยวฤดูร้อนจึงดูจะเหมาะกว่า และมันมีเหตุผลว่าทำไมต้องไปเดือนกันยายน นั่นเพราะว่าที่เมืองมิวนิกจะมีเทศกาลเบียร์เยอรมัน อ็อกโทเบอร์เฟสต์ ซึ่งเป็นเทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
การเดินทางไปเยอรมัน ต้องทำวีซ่าเชงเกน ใช้เวลาบินประมาณ 11 ชั่วโมง ในการไปแฟรงค์เฟิร์ต และใช้เวลาบินประมาณ 13 – 18 ชั่วโมง ในการไปเบอร์ลิน หากว่าจองล่วงหน้าก่อนการเดินทางจะได้ราคาประหยัด
การเดินทางในเยอรมัน มีหลากหลายวิธีที่นิยม ทั้งรถไฟ รถประจำทาง รถราง ปั่นจักรยาน หรือจะเช่ารถยนต์ขับเองก็ได้ หรือแม้แต่เรือเฟอร์รารี่ก็มีบริการ ระบบการเดินทางทุกอย่างเน้นไปที่ความปลอดภัย มีเวลาที่แน่นอนของการเดินรถ
รถไฟเยอรมัน มีทั้งหมด 6 แบบ
รถไฟเยอรมันจะตรงเวลามาก เลทได้สองสามนาทีเท่านั้น หากว่านานกว่านั้นแสดงว่าเกิดเหตุสุดวิสัย อาจจะมีพายุเข้า ทุกหัวเมืองจะมีสถานีรถไฟประจำเมืองนั้นๆ แล้วก็ยังมีสถานีย่อยๆ ลงไปอีก แบ่งรถไฟออกเป็นทั้งหมด 6 แบบ ดังนี้

  • เราควรที่จะจับมือทักทายกับอีกฝ่ายเมื่อถูกแนะนำให้รู้จัก เพราะว่าถ้าไม่จับมือจะถือว่าไม่สุภาพ
  • อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่าคนเยอรมันชอบดื่มเบียร์ ก่อนที่พวกเขาจะดื่มเบียร์ทุกครั้ง พวกเขาต้องพูดว่า PROST! ความหมายคล้ายๆ Cheers โดยขณะที่พูดอย่าลืมมองตาเพื่อนๆ ด้วย
  • เราสามารถพูดคุยเรื่องการเมืองได้ แม้ว่าจะเพิ่งพบกันครั้งแรก เพราะคนเยอรมันชอบพูดคุยกันเรื่องการเมืองและปรัชญา ดังนั้นเราสามารถพูดคุยได้อย่างอิสระ
  • เวลาที่เรารับโทรศัพท์ทุกครั้ง เราควรจะพูดชื่อของตัวเองก่อน
  • อันนี้สำคัญสำหรับนักช็อป เพราะว่าร้านค้าในเยอรมันส่วนมากไม่รับบัตรเครดิต อย่าลืมพกเงินสดติดตัวด้วยนะ
  • ห้ามมาสาย จริงๆ ก็เป็นมรรยาทของทุกประเทศ แต่คนเยอรจะตรงเวลามาก และค่อนข้างซีเรียส
  • ห้ามมอบดอกลิลลี่ให้แก่คนเยอรมัน เพราะใช้ในพิธีงานศพ
  • ห้ามมอบดอกคาร์เนชั่นให้แก่คนเยอรมัน เพราะหมายถึงความเศร้าโศก
  • บนฟุตบาทจะแบ่งเป็น 2 เลน เวลาเดินบนฟุตบาท สังเกตดีๆ คือ สำหรับคนเดิน และสำหรับคนขี่จักรยาน
  • อย่าข้ามถนนสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะผิดกฎหมาย อาจจะถูกจับได้

  • ของใช้จำเป็นที่ควรนำไปด้วย

  • มีดโกน แหนบ กรรไกรตัดเล็บ หวี เพราะว่าของพวกนี้แพงกว่าบ้านเรา และร้านเสริมสวยที่นี่แพงมาก ต้องทำเอง ส่วนยาทาเล็บ หรือยาล้างเล็บ ไม่ต้องเอาไป เพราะว่าที่นี่ถูกมาก และคุณภาพดี
  •  โฟมล้างหน้า กับโลชั่นอาบน้ำ เพราะว่าของที่นี่จะเป็นแบบลื่นๆ ล้างออกก็ยาก หากชอบแบบล้างง่ายๆ ก็ต้องนำมาเอง
  • เซรั่มบำรุงผมแห้งเสีย เพราะว่าอากาศที่นี่แห้ง ผมจะกระด้างมาก
  • แปรงสีฟัน เพราะว่าแปรงสีฟันของที่นี่ค่อนขนข้างแข็ง ลองเอาไปแช่น้ำอุ่นแล้วก็ยังแข็ง
  • แป้งเย็น ที่เยอรมันไม่มีขาย พกมาด้วยเพราะว่าหน้าร้อนที่นี่จะร้อนมาก ร้อนแบบแห้งๆ ส่วนแป้งเด็กมีขายแต่เป็นแบบกระป๋องเล็กๆ กระป๋องละ 30 บาท แต่ที่บ้านเราแค่ 12 บาท
















































































































  • วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

    ของฝากจากเยอรมนี

     หลายๆ คนไปเยือนประเทศเยอรมนีแล้วไม่รู้ว่าควรจะซื้อสินค้าอะไรกลับไปเป็นของขวัญของฝากแก่ญาติพี่น้องดี เพราะเกรงว่าของที่ซื้อไปนั้นอาจจะมีวางขายที่เมืองไทยเหมือนกัน ดีไม่ดีหากราคาถูกกว่า ก็คงจะนั่งเฟลไปหลายวันเป็นแน่ ดังนั้นบทความนี้เราจึงเขียนขึ้น สำหรับใครก็ตามที่กำลังวางแผนไปเยือนที่นี่ และกำลังมองหาของขวัญหรือของที่ระลึกสำหรับคนพิเศษอยู่ล่ะก็ 
       
    1. เครื่องสำอางยี่ห้อ Dr. Hauschka


    ของขวัญชิ้นนี้เหมาะมากสำหรับคุณแม่ น้องสาว พี่สาว และเพื่อนสาวค่ะ กับผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ที่ใครเล่าจะไม่อยากได้ โดยผลิตภัณพ์สกินแคร์ยี่ห้อ Dr. Hauschka แห่งเยอรมนีถือเป็นแบรนด์สินค้าคุณภาพดีเยี่ยมอีกยี่ห้อหนึ่งในโลก ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ และไม่มีสารกันบูด จึงเหมาะสำหรับสาวๆ ในทุกสภาพผิว โดยสินค้าที่ขายที่ดีที่สุดซึ่งนักท่องเที่ยวมักหอบหิ้วกลับไปเสมอนั่นก็คือ Rose Day Cream นั่นเองค่ะ 
     2. รองเท้ายี่ห้อ Birkenstock
    รองเท้ายี่ห้อ Birkenstock คือแบรนด์รองเท้าคุณภาพจากประเทศเยอรมนี ที่มีประวัติอันยาวนานมากกว่า 242 ปี โดยเริ่มผลิตรองเท้าคู่แรกในปี ค.ศ. 1774 ด้วยการออกแบบที่คลาสสิกแต่แฝงเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่สำคัญยังดีต่อสุขภาพของผู้สวมใส่ด้วยพื้นรองเท้าที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้รับกับสรีระเท้าของผู้สวมใส่ อีกทั้งวัสดุที่ใช้ยังเป็นหนังชั้นดีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบันได้มีการออกแบบให้อินเทรนด์ยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย
     3. ตุ๊กตา Hummel Figurines

    ตุ๊กตาฮัมเมล คือตุ๊กตาแบรนด์เก่าแก่จากประเทศเยอรมนีค่ะ โดยเริ่มก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1935 และปัจจุบันโรงงานเครื่องเคลือบดินเผา W. Goeble ผู้ผลิตตุ๊กตาเหล่านี้ก็ได้ปิดตัวลงไปแล้ว นั่นจึงทำให้ตุ๊กตาฮัมเมลกลายเป็นสินค้าที่มีค่ายิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งจุดเด่นของมันที่ทำให้ใครต่อใครต่างหลงรักก็คือ ความมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากตุ๊กตาทั่วๆ ไป เพราะในขั้นตอนของการเพ้นท์สีนั้นจะใช้แรงงานคนแทนเครื่องจักร จึงทำให้ตุ๊กตาที่ได้มีสีในแนวเอิร์ธโทนดูละมุนตา และทำให้ตุ๊กตาแต่ละตัวมีสีหน้าที่ไม่ซ้ำกัน

     4. ชุดชั้นในยี่ห้อ Schiesser                                                      

    SCHIESSER คือผู้ผลิตชุดชั้นในและชุดว่ายน้ำเก่าแก่อายุกว่า 125 ปี และเป็นหนึ่งในแบรนด์ชั้นนำของประเทศเยอรมนี ที่คนท้องถิ่นให้การยอมรับในเรื่องของความมีคุณภาพสูง ด้วยการผลิตจากผ้าฝ้าย จึงช่วยระบายอากาศ ซับเหงื่อได้ดี และสามารถใช้งานได้อย่างยาวนานโดยไม่ยืดไม่ย้วย

     5. ตุ๊กตาสัตว์ยี่ห้อ Steiff

    6305741738_4bc7e6e888_b


    ตุ๊กตาสัตว์น่ารักจาก Steiff ไม่เพียงแต่นำรอยยิ้มมาสู่ใบหน้าของเด็กๆ เท่านั้น แต่ตุ๊กตาแบรนด์นี้ยังเป็นที่นิยมของนักสะสมตุ๊กตาจากทั่วโลกด้วยล่ะค่ะ เพราะผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนแกะ หรือผ้าทอกำมะหยี่ เป็นต้น นอกจากนั้นตุ๊กตา Steiff ของแท้จะต้องมีเครื่องหมายการค้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Steiff ซึ่งจะอยู่ภายในหูของตุ๊กตา และสามารถลอกเลียนแบบได้ยาก ดังนั้นหากใครต้องการที่จะซื้อตุ๊กตา Steiff ก็ควรจะตรวจสอบเสียก่อนนะคะว่าเป็นของแท้หรือของปลอม

     6. หนังสือนิทานจาก Brothers Grimm

    เยอรมนีคือต้นกำเนิดของหนังสือเทพนิยายซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก อย่างเช่นเรื่องสโนไวท์ ราพันเซล ซินเดอเรลล่า และแฮนเซลกับเกรเธล หนูน้อยหมวกแดง เป็นต้น โดยเป็นผลงานการเขียนของ 2 พี่น้องตระกูลกริมม์ นั่นก็คือ ยาค็อบ กริมม์ และวิลเฮล์ม กริมม์ ที่อาจจะค่อนข้างโหดร้านไปสักหน่อย โดยหนังสือเทพนิยายของทั้งสองนั้นถูกพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนจะถูกดัดแปลงเรื่องราวให้สวยงามจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมดังเช่นปัจจุบัน นั่นจึงทำให้เทพนิยายภาคต้นฉบับเหล่านี้กลายเป็นของสะสม ที่ใครๆ ต่างก็อยากซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึก

     7. นาฬิกาแขวนผนัง Cuckoo


    นาฬิกานกกาเหว่า หรือนาฬิกากุ๊กกู คือของขวัญระดับซิกเนเจอร์จากประเทศเยอรมนีค่ะ นั่นก็เพราะว่าต้นกำเนิดของนาฬิกากุ๊กกูนั้นอยู่ที่เมืองทิติเซ่ทางตอนใต้ของประเทศนั่นเอง โดยนาฬิกากุ๊กกูจากเยอรมนีจะแตกต่างจากที่อื่นตรงที่ ทุกชิ้นเป็นสินค้าแฮนด์เมดซึ่งทำจากไม้สนแกะสลัก จากนั้นจึงถ่วงด้วยตุ้มน้ำหนัก โดยมาพร้อมกับฟังก์ชันในการทำงานมากมาย ทั้งตีบอกเวลา หรือมีนกร้อง กมีล่องดนตรี มีตุ๊กตาเต้นรำ และมีคนเลื่อยไม้ ฯลฯ อันเป็นวิถีชีวิตของคนเยอรมันในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันก็ได้มีการออกแบบให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น รวมทั้งยังมีนาฬิกากุ๊กกูที่ผลิตจากสแนเลสให้เลือกอีกด้วยค่ะ

     8. ตั๋วรถไฟ German Rail Pass

    German Rail Pass คือของขวัญที่เป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยวและสำรวจเยอรมนีอย่างใกล้ชิดค่ะ โดยจะมีตั๋วที่มีให้เลือกทั้งประเภท 4 วัน ไปจนถึง 10 วันเลยทีเดียว โดยสามารถใช้เดินทางได้ภายในระยะเวลา 1 เดือน ที่สำคัญนอกจากจะใช้ภายในประเทศได้แล้ว ยังสามารถใช้ในประเทศออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ได้ด้วยค่ะ แต่คุณต้องมั่นใจว่าได้ขอวีซ่าประเภทเชงเก้นเรียบร้อยแล้ว
















































                       ภูมิภาค-ฤดูในเยรมัน